วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

คติธรรมสำหรับคู่รัก



สุขภาพ ความรัก
วันจันทร์ที่ 07 มีนาคม 2011 เวลา 21:24 น.

- จงรักด้วยสมอง แต่อย่ารักจนขึ้นสมอง
- ที่ใดมีรัก (อย่างขาดสติ) ที่นั่นมีทุกข์
- ที่ใดมีรัก (อย่างมีสติ) ที่นั่นมีสุข
-ความรัก ควรถูกนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างอนาคตที่ดีร่วมกัน ไม่ใช่เป็นตัวทำลายอนาคต
- รักแท้ที่ยั่งยืน ควรวางรากฐานอยู่บนทฤษฎี ๔ ส. กล่าวคือ
๑. สมศรัทธา มีศรัทธาเสมอกัน (เชื่อมั่นศรัทธาในสิ่งเดียวกัน)
๒. สมศีลา มีศีลเสมอกัน (ไม่นอกใจซึ่งกันและกัน)
๓. สมจาคา มีความเสียสละเสมอกัน (ลืมความเป็นเธอ ลืมความเป็นฉัน หลอมกันเป็นเรา)
๔. สมปัญญา มีปัญญาเสมอกัน (มีระดับสติปัญญาเสมอหรือใกล้เคียงกัน)
- อย่ารักจนหน้ามืดตามัว จนมองไม่เห็นหัวกฏเกณฑ์ทางจริยธรรมของสังคม
- อย่ารักจนหน้ามืดตามัว กระทั่งมองไม่เห็นหัวของมารดรบิดาบังเกิดเกล้า
- ทุกครั้งที่มีความรัก ควรเผื่อใจไว้สำหรับการอกหักที่อาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ
- ที่ใดมีรัก ที่นั่น (อาจมีทุกข์) ที่ใดมีกิ๊ก ที่นั่นมีกรรม, ที่ใดมีชู้ ที่นั่นมีช้ำ
- ทุกคนที่มีความรัก ควรภาวนาคาถากันน้ำตาไหลที่ว่า “ไม่แน่ ไม่ได้ดั่งใจ ไม่มีอะไรสมบูรณ์” เอาไว้เสมอ
- เลือกคนรักอย่ามองแค่หน้าตา แต่จงพิจารณาไปถึงนิสัย สติปัญญา และคุณธรรม
- ผู้ชายจงมองให้เห็นความเป็นแม่ที่มีอยู่ในผู้หญิง ส่วนผู้หญิงจงมองให้เห็นความเป็นพ่อที่มีอยู่ในผู้ชาย
- ความรักไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต อย่าอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรักจนเสียผู้เสียคน
- จงเรียนรู้ที่จะพัฒนาความรักจากระดับสามัญไปสู่รักที่สร้างสรรค์เพื่อ เกื้อกูลโลก เพราะมนุษย์ทุกคนมีความสามารถที่จะรักได้มากกว่าการรักตัวเอง รักแท้ที่ควรสร้างสรรค์มี ๔ ระดับ คือ
๑. รักตัวกลัวตาย (รักพื้นฐานระดับสัญชาตญาณ)
๒. รักใคร่ปรารถนา (รักอิงกามารมณ์)
๓. รักเมตตาอารี (รักอิงสายเลือดและสายสัมพันธ์)

การสร้างแรงจูงใจ



ถ้าวันไหนเรามีแรงจูงใจหรือกำลังใจในชีวิต น้อยกว่าปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น วันนั้นอาการที่แสดงออกมาคือ เบื่อ เซ็ง ขี้เกียจ ท้อแท้ ฯลฯ เปรียบเหมือนกับการที่เราขับรถยนต์ขึ้นภูเขา ถ้าวันไหนต้องขับขึ้นภูเขาที่สูงชันมากเกินกว่ากำลังเครื่องยนต์ของเราจะสู้ได้ วันนั้น รถยนต์ของเราก็คงจะหยุดอยู่กับที่หรือไม่ก็ลื่นไถลตกลงมาสู่ที่ต่ำ ถ้าวันไหนเรามีแรงจูงใจหรือกำลังใจ มากกว่าปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น วันนั้น อาการที่เราแสดงออกคือ สนุก ขยัน แรงฮึดเยอะ ไม่กลัว กล้าทำ กล้าลุย กล้าเสี่ยง ฯลฯ เปรียบเสมือนกับการที่เราขับรถยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์แรงมากหรือเหมือนขับรถโฟวีลที่สามารถขับขึ้นภูเขาลูกไหนก็ได้ ลุยกับสภาพถนนแบบไหนก็ได้
 
แรงจูงใจมีอยู่ในตัวคนเราอย่างไม่จำกัด แต่ข้อจำกัดอยู่ที่ใจของเราเองที่ไปจำกัดว่าเราไม่มี เราไม่ไหว เราไม่สู้ เช่น เวลาตื่นนอนตอนเช้าถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อ ท้อ ขี้เกียจ การที่จะลุกขึ้นออกจากเตียงยังยากเลย แทบจะไม่มีแรงต่อสู้กับแรงดึงดูดของเตียง แต่ถ้าวันไหนมีกำลังไหม้บ้าน (แรงผลักที่เกิดจากความกลัว) หรือเราต้องไปขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศ(แรงดึงที่เกิดจากความอยาก) เราสามารถตื่นและลุกออกจากเตียงได้โดยไม่ต้องลังเล เราสามารถชนะแรงดึงดูดของเตียงนอนได้อย่างง่ายดาย สิ่งเหล่านี้แสดงว่าในความเป็นจริงแล้ว ศักยภาพในตัวเรามีอยู่อย่างไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับว่าเรามีสิ่งกระตุ้น(ความอยากและความกลัว)และเทคนิควิธีการในการฉุดดึงเอาแรงจูงใจ ออกมาใช้ได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น
เพื่อให้ชีวิตของเรามีแรงขับเคลื่อนที่มากพอและต่อเนื่อง ผมขอแนะนำเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจาก 2 แหล่งดังนี้
 
การสร้างแรงจูงใจ...จากเรื่องราวในอดีต
ชีวิตคนหนึ่งคน คือภาพยนตร์หนึ่งเรื่องที่ถ่ายเก็บไว้ตั้งแต่เกิด แต่ไม่ค่อยมีใครนำมาเปิดใช้ในระหว่างทางของชีวิต ส่วนใหญ่จะเปิดกันก็ต่อเมื่อเข้าสู่บั้นปลายของชีวิต เข้าข่ายที่ว่า “คนแก่ชอบเล่าเรื่องเก่า” เพราะชีวิตของคนกลุ่มนี้ไม่มีอนาคตแล้ว พลังที่จะช่วยให้ชีวิตของเรายังคงอยู่ต่อไปได้คือกำลังใจจากเรื่องราวในอดีตที่รู้สึกภูมิใจ เล่ากี่ครั้งกี่หนก็ไม่เคยเบื่อ (แต่คนฟังเบื่อไปหลายรอบแล้ว) ถ้าเรายังไม่แก่ ขอแนะนำว่าควรจะนำเอาเรื่องเก่าทั้งที่เป็นจุดด้อยและความภูมิใจในชีวิตที่ผ่านมา มาสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง เมื่อไหร่ที่นึกถึงความยากลำบากในชีวิตที่ผ่านมาก็จะทำให้เราเกิดพลังที่จะขับเคลื่อนตัวเองให้หลุดพ้นจากสภาพที่เราเคยลำบากมาก่อน ในขณะเดียวกันถ้าเรานึกถึงเรื่องที่เราภูมิใจ อาจจะเป็นความสำเร็จในชีวิตที่ผ่าน ก็เท่ากับว่าเราได้ชาร์ตไฟให้กับตัวเองด้วยความภูมิใจในอดีตของตัวเราเอง
การสร้างแรงจูงใจจากอดีต ถือเป็นเทคนิคการสร้างแรงจูงใจแบบผลักดันให้ชีวิตเราเดินไปข้างหน้า ด้วยเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว เหมือนกับการที่เราเข็นรถยนต์ที่จอดอยู่จากด้านหลังของรถนั่นเอง ตัวอย่างเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอดีต...
 
ใครเบื่อพ่อเม่ ขอให้นึกถึงตอนที่เราเจ็บไข้ไม่สบายตอนเด็กๆ ใครเป็นคนเผ้าดูแลเอาใจใส่เราตลอดเวลา
ใครเบื่องาน ขอให้นึกถึงวันเริ่มงานวันแรก
ใครเบื่อสามีหรือภรรยา ให้นึกถึงวันที่แต่งงาน
ใครเบื่อลูกให้นึกถึงวันที่คลอดลูกหรือไปรอหน้าห้องคลอด
ใครเบื่อคนรอบข้างให้นึกถึงวันที่เราเคยไปหลงป่าอยู่คนเดียว หรือวันที่เราต้องอยู่บ้านคนเดียว
ใครเบื่อตัวเอง ให้นึกถึงวันที่เราเคยให้คำปรึกษาผู้อื่น
 
การสร้างแรงจูงใจ...จากเรื่องราวในอนาคต
คนบางคน ในบางเวลา เรื่องราวในอดีตอาจจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ไม่ได้ อาจจะเป็นเรื่องในอดีตมีแต่เรื่องที่ช่วยฉุดแรงจูงใจให้ต่ำลงไปอีก จึงขอแนะนำให้ใช้เทคนิคสร้างแรงจูงใจโดยใช้เรื่องราว เหตุการณ์ในอนาคตมาหลอกล่อหรือดึงดูดใจ การสร้างแรงจูงใจในชีวิตเปรียบเสมือน การที่เราเข็นรถชีวิตที่จอดอยู่นิ่งๆ ถ้าไม่สามารถเข็นจากด้านหลังได้ ก็อาจจะต้องใช้วิธีการดึงจากข้างหน้า หรือไม่ก็อาจจะต้องใช้ทั้งสองทางรวมดัน(ทั้งดึงและดัน)
สำหรับการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคต เป็นการหลอกตัวเองให้วิ่งไล่จับความฝัน หลอกตัวเองให้กลัวการสูญเสียบางสิ่งบางอย่างในอนาคตไป เป็นการป้องกันคำว่า “เสียดาย” ในชีวิต เพราะคนหลายคนมักจะเกิดคำว่าเสียดายในหลายเรื่อง เนื่องจากมาคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว วิธีการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคตเป็นการซ้อมคิดหาคำว่าเสียดายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วนำเอาความรู้สึกเสียดายนั้นๆมาใช้ในการสร้างแรงจูงใจ ตัวอย่างเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคต...
 
ใครเบื่อพ่อเม่ ขอให้นึกถึงวันสุดท้ายที่ท่านจากเราไป
ใครเบื่องาน ขอให้นึกถึงวันที่เขาจะให้เราออกจากงานหรือวันที่เราจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
ใครเบื่อสามีหรือภรรยา ให้นึกถึงวันที่เขาจากเราไป
ใครเบื่อลูกให้นึกถึงวันที่ลูกประสบความสำเร็จ
ใครเบื่อคนรอบข้างให้นึกถึงวันที่คนเหล่านั้นมาร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเรา
ใครเบื่อตัวเอง ให้นึกถึงวันที่เราจะประสบความสำเร็จ
สรุป แรงจูงใจไม่ต้องไปซื้อหาหรือหยิบยืมใครที่ไหน มันอยู่ในตัวของเราอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะมีเทคนิควิธีการในการดึงมันขึ้นมาใช้ได้อย่างไร สำหรับเทคนิคที่ผมแนะนำไปนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ผู้อ่านหลายท่านอาจจะมีเทคนิคเฉพาะของตัวเองอีกหลายวิธี ขอให้ลองฝึกดึงพลังภายในโดยการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองบ่อยๆ รับรองได้ว่าชีวิตนี้ไม่มีวันหมด “กำลังใจ” อย่างแน่นอน

เพราะอะไรคนรัก เขาไม่เคยบอก


คุณ เคยสงสัยในตัวใครบางคน ว่าเขาอาจจะแอบชอบคุณอยู่ คุณรอแล้วรอเล่า เอ...เมื่อไหร่เขาจะบอกรักคุณสักที(แม้บางทีคุณอาจจะไม่ได้มีใจให้กับเขาเลย ก็เหอะ) คุณอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่คุณต้องการ แต่วันนี้ เราจะให้คุณได้ทำความเข้าใจกับความรู้สึกของ คนที่แอบชอบคุณกันบ้าง เหตุผลที่เขาไม่บอกรักคุณซักที
ข้อ 1. เขาไม่ได้ชอบคุณหรอก คุณคิดไปเอง
ข้อ 2. เขากลัวว่าคุณอาจจะไม่รับฟังในสิ่งที่เขาจะพูดออกไป
ข้อ 3. เขากลัวว่าสิ่งที่ตามมา มันอาจจะทำให้อะไร ๆ ไม่เหมือนเดิม ๆ (แย่ลงไปกว่าเก่า)
ข้อ 4. เขามีความสุขที่จะรักคุณไปเงียบ ๆ อย่างนี้ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้
ข้อ 5. เขาอาย..แหม! หรือคุณไม่เคยอาย เขาก็เขินอายเป็นเหมือนกัน นะยะตัว
ข้อ 6. เขาอาจจะกำลังสับสนในตัวเอง ไม่แน่ใจว่าเขากำลังชอบคุณ รักคุณ เอ๊ะ! หรือว่าแค่ปลื้มในตัวคุณเท่านั้น
ข้อ 7. เขาคิดว่า อาจจะเป็นการดี ถ้าเขาจะเป็นเพื่อนกับคุณ ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ เพราะเขาสามารถรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้มากมาย จากปากของคุณโดยที่คุณได้เป็นตัวของคุณเองอย่างเต็มที่
ข้อ 8. เขากลัวสารพัด และที่สำคัญนะ เขากลัวว่า คุณไม่ได้มีใจให้เขาเลย เขากลัวความจริง
ข้อ 9. เขาอาจจะพยายามลืมคุณไปจากหัวใจอยู่ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งเขาพยายามลืมคุณไปจากหัวใจมากเท่าไหร่ หัวใจยิ่งเรียกร้อง อยากจะเจอคุณเสียทุกครั้งไป
ข้อ 10. เขากำลังชั่งใจอยู่ ว่าถ้าบอกคุณไป ระหว่างผลดีกับผลเสียอะไรมันจะมากกว่ากัน
ข้อ 11. เขาไม่อยากทำให้ใครเดือดร้อน (กรณีที่คุณมีแฟนแล้ว) เขาไม่อยากให้คุณกับแฟน ต้องผิดใจกันอีกเพราะเขาไปเป็นต้นเหตุ...พูดง่าย ๆ ก็คือเขาไม่อยากเป็นมือที่สาม
เมื่อ คุณเริ่มจะเข้าใจความ รู้สึกของเขาขึ้นมาบ้างแล้ว คุณก็อย่าไปนึกโกรธเคือง หงุดหงิดกับเขาเลย เขาไม่ผิดหรอกนะ และสิ่งที่คุณไม่ควรทำที่สุดคือ ไม่ควรไปคาดคั้นเอาคำตอบ อะไรจากเขา
นอกจากมันจะไร้ประโยชน์แล้ว คุณคิดหรือ ว่าคุณจะได้รับคำตอบที่แท้จริง ออกมาจากปากของเขา ณ เวลานั้นเลย เขาไม่บอกคุณง่ายๆหรอก
คุณ อย่าลืมนะ! ว่านี่...อาจจะเป็นความลับสุดยอดของเขา แล้วเขาก็มีความกังวลอยู่ในหัวสารพัดสารเพ แต่ถ้าคุณเป็นฝ่ายที่แอบชอบเขาอยู่เหมือนกัน และคุณก็มั่นใจและไม่กลัวสิ่งต่างๆ อย่างที่เขากลัว คุณก็บอกเขาไปเลย..!! จะได้ไม่ต้องเก็บมาคิดให้หนักใจ จริงมั้ย ให้เวลาเขาหน่อย ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา สักวัน คุณอาจจะได้คำตอบที่แท้จริงจากเขา โดยที่เขาอาจจะไม่ได้เอ่ยมันออกมาเลยก็ได้

ง่วงนอนบ่อยสัญญาณบอกโรค



1. โรคโลหิตจาง
 อาการง่วงนอนในคนเป็นโรคโลหิตจางนี้เป็นอาการทางสมอง โดยผู้ป่วยจะมีอาการง่วงนอนบ่อย เฉื่อยชาความคิดความอ่านด้อยลง เนื่องจากร่างกายขาดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่จะนำออกซิเจนจากปอดมาเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย คุณผู้หญิงที่ง่วงเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ประจำเดือนมามาผิดปกติ ควรไปตรวจหาโรคนี้เสียหน่อย เพราะโรคนี้จะพบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
   
2. เบาหวาน คนที่เป็นเบาหวานมักจะง่วงนอนบ่อยๆ
 เพราะระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ เพื่อให้แน่ใจว่าป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ควรสังเกตตัวเองด้วยว่า นอกจากง่วงบ่อยแล้ว ยังมีอาการอ่อนเพลียง่าย กระหายน้ำ หิวจัด น้ำหนักลด ปัสสาวะบ่อย ตกขาว และ สายตาพร่ามัวร่วมด้วย หรือไม่
   
3. โรคซึมเศร้า
โรคซึมเศร้าทำให้พลังงานในร่างกายลดลงการนอนจึงเปลี่ยนไป บ้างก็นอนไม่หลับในตอนกลางคืน หรือหลับๆ ตื่นๆ  ส่งผลให้ง่วงมากในตอนกลางวัน บ้างก็มีอาการนอนมากหรือนอนน้อยเกินไป
   
4. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
คนที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาการมักเริ่มด้วยการกรน แล้วตามมาด้วยอาการอ่อนเพลียและง่วงนอนในวันรุ่งขึ้น อาการจะเป็นเช่นนี้เกือบทุกวันหากง่วงนอนโดยหาสาเหตุไม่ได้แนะนำให้ไปพบแพทย์  ดังนั้นเราควรสังเกตตัวเองบ่อยๆ เป็นประจำเป็นทางหนึ่งที่ทำให้ช่วยป้องกันโรคได้ทันท่วงที

ปวดท้องน้อยในสตรี



ในชีวิตของผู้หญิงหลายๆ คน จะต้องมีอาการปวดท้องน้อย หรือปวดในอุ้งเชิงกรานบ้าง บางทีปวดน้อย บางทีปวดมาก บางทีปวดนานๆ ครั้ง  บางทีก็ปวดบ่อย บางทีก็ปวดก่อน ขณะมีหรือหลังมีประจำเดือน ฯลฯ ภายในอุ้งเชิงกรานก็มีอวัยวะไม่กี่อย่าง คือ อวัยวะสืบพันธ์  (ได้แก่  ช่องคลอด มดลูก รังไข่ และท่อรังไข่) ทางเดินปัสสาวะ (กระเพาะปัสสาวะ และท่อไต) ลำไส้ใหญ่ สำไส้เล็ก กล้ามเนื้อ หลอดเลือด การที่จะหาสาเหตุของอาการปวด บางทีก็เป็นเรื่องยุ่งยากในการค้นหา และบางอย่างก็เป็นอันตรายได้  โดยเฉพาะถ้าปวดจนทำให้รู้สึกว่า มันทำให้ชีวิตประจำวันธรรมดาของเราเสียไป หรือมากจนสุดทนในบางคราว
ถ้าเป็นดังกล่าว สิ่งที่คุณผู้หญิงคงอยากทราบว่า อะไรที่ทำให้ปวดท้องน้อยได้บ้าง จะรู้ได้อย่างไรว่าเกิดจากอะไร และ แล้วจะรักษาอย่างไร
ลักษณะของการปวดท้องน้อย
อาการปวดจะแตกต่างกันไป จากสาเหตุที่แตกต่างกัน อาการปวดอาจเป็นพักๆ หรือตลอดเวลา อาจเกี่ยวข้องกับระยะของประจำเดือน การถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ หลังจากรับประทานอาการ หรือระหว่าง  หรือหลังจากมีเพศสัมพันธ์ บางทีก็ร้าวไปที่อวัยวะอื่น ซึ่งมักเป็นหลัง ก้นกบ ต้นขา เป็นต้น อาการปวดดังกล่าว อาจรบกวนการทำงาน การเคลื่อนไหว การนอน การมีเพศสัมพันธ์ และบางครั้งก็ปวดจนสุดที่จะทนได้  ถ้าเกิดขึ้นนานๆ ก็ทำให้เกิดความเครียด ร่างกายและจิตใจผิดปกติไป 
ถ้าคุณสามารถอธิบายลักษณะการปวดได้ ว่า เป็นๆ หายๆ หรือตลอดเวลา ปวดตื้อๆ หรือแปลบๆ ปวดร้าวไปที่ไหน และเมื่อไรที่ คุณจะรู้สึกว่ามันปวดมากขึ้น เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ ให้แพทย์ช่วยวินิจฉัยได้ง่ายขึ้น

สรุป 

การปวดท้องน้อย มีทั้งชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง ส่วนใหญ่เกิดจากอวัยวะสืบพันธุ์ แต่ก็เกิดจากอวัยวะอื่นใกล้เคียง อาจจำเป็นต้องรักษาแบบฉุกเฉิน ซึ่งอาจจะเป็นโดยยาหรือผ่าตัด หรือแพทย์ทางเลือก แล้วแต่สถานการณ์ และสาเหตุ ซึ่งแพทย์ที่ชำนาญจะเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำได้


นพ. ธีรศักดิ์ ธำรงธีระกุล
สูติ-นรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรักษาผู้มีบุตรยาก รพ.วิภาวดี